ใช้ตระกร้าซื้อของมาช่วยปลุกเร้าจิตวิญญาณนักช้อป
หลังจากลูกค้าก้าวเข้ามาในร้าน และยื่นมือไปคว้าตระกร้าซื้อของ ทันใดนั้นก็เหมือนมีเชื้อไฟให้จิตวิญญาณนักช้อปคุกรุ่นขึ้น จุดสำคัญอยู่ที่ “ตระกร้าซื้อของ” นี่เอง ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น เมื่อเราไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อแชมพูสระผม แต่พอเดินเข้าไปในร้านแล้วเห็นป้าย P.O.P อาทิ กล่องใส่โบรชัวร์ ป้ายอะคริลิค ตัวหนีบป้ายราคา อยู่ตรงนู้นตรงนี้ มือก็เผลอไปหยิบสินค้าที่อยากได้มาทีละชิ้นสองชิ้น เมื่อของเต็มมือก็ไปหยิบตระกร้าซื้อของมาใส่ แล้วสุดท้ายก็เผลอซื้อสินค้าอย่างอื่นกลับมาด้วยเป็นจำนวนมาก คนเราเมื่อมีตระกร้าซื้อของอยู่ในมือก็จะรู้สึกอยากซื้อและคิดว่า “ต้องซื้ออะไรสักหน่อย” นั่นเอง
เรื่องนี้มีข้อมูลสถิติเป็นตัวเลที่พิสูจน์ได้ด้วย 75% ของลูกค้าที่ถือตระกร้าซื้อของ จะซื้อของในร้าน ในขณะที่ลูกค้าที่ไม่ได้ถือตระกร้ามีเพียง 35%เท่านั้นที่ซื้อของ
นอกจากนี้ วอลมาร์ท เครือข่ายซุปเปอร์มาร์เก็ตขายปลีกสินค้าที่มียอดขายมากที่สุดในโลกและมีฐานหลักอยู่ในสหรัฐอเมริกา ได้ทำวิจัยลูกค้าที่เข้ามาซื้อของในร้านและพบว่าลูกค้าที่ใช้รถเข็นนั้นซื้อของมากกว่าลุกค้าที่ไม่ใช้รถเข็นถึง 4 เท่าทีเดียว โดยเฉพาะรถเข็น ลูกค้าซื้อของได้โดยไม่ต้องกังวลถึงน้ำหนักของสิ่งที่ซื้อ จึงยิ่งทำให้อยากซื้อมากขึ้นอย่างง่ายดาย และมีแนวโน้มจะซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นกลับไปด้วย
ส่วนร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าใจหลักข้อนี้ ก็จะให้พนักงานยืนประจำตรงทางเข้าเพื่อทักทายและแจกตระกร้าให้ลูกค้า ร้านสะดวกซื้อที่ขายขนมขบเคี้ยวได้มาก เพราะนอกจากจะทำให้ขายขนมได้มากขึ้นแล้ว ลูกค้าบางคนยังซื้อเครื่องดื่มไปด้วย
ดังที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่าตระกร้าซื้อของนั้นช่วยเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นได้ราวกับใช้เวทย์มนตร์ทีเดียว และแม้จะเป็นร้านที่ไม่เน้นการซื้อแบบฉับพลัน ตระกร้าซื้อของก็ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับร้านค้าอยู่ดี
อ้างอิง : 1. SB Shopping Basket S.L.
- (Tsui Kono Mise de Katte Shimau Wake) โดย Hakuhodo Paco Underhill Kenkyuukai, Kenji Onodera & Yuusaku Konno (editor)